ประกันของเรา
บทความ
เกี่ยวกับ gettgo

ประกันรถชั้น 1 คุ้มครองอะไรบ้าง

ประกันรถชั้น 1 คุ้มครองอะไรบ้าง

 

เวลาคนเจ็บไข้ได้ป่วยยังต้องมีประกัน ถ้าหากรถเกิดอุบัติเหตุไปชน หรือโดนชนจนเสียหายเข้า ประกันรถก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเหมือนกัน เช่นเดียวกับประกันสำหรับบุคคลอย่างประกันสุขภาพหรือประกันอุบัติเหตุ ประกันรถยนต์ก็มีหลากหลายรูปแบบให้เลือกซื้อตามประเภทของรถหรือความคุ้มครองตามแบบที่ต้องการ สำหรับวันนี้เราจะมาพูดถึงประกันรถยนต์ชั้น 1 ให้ทุกคนที่กำลังจะเลือกซื้อได้หายสงสัยว่าประกันประเภทนี้คุ้มครองอย่างไร และควรเลือกอย่างไรดีจึงจะคุ้มค่า

ประกันชั้น 1 คุ้มครองอะไร

ประกันรถยนต์หมายถึง การรับประกันความเสียหายอันเกิดจากอุบัติเหตุของรถยนต์ ผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร บุคคลภายนอก รวมถึงทรัพย์สินต่าง ๆ บริษัทประกันมีหน้าที่จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัย ประกันรถยนต์ถูกแบ่งเอาไว้เป็น 2 ประเภท คือแบบภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ ที่เราเห็นว่ามีการแบ่งประเภทเป็นประกันรถยนต์ชั้น 1 ชั้น 2 ชั้น 3 นั้นจัดเป็นประกันรถยนต์ภาคสมัครใจซึ่งเราสามารถเลือกซื้อได้เองโดยกฎหมายไม่ได้บังคับ

สำหรับประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่เราจะพูดถึงในวันนี้ ถือเป็นประกันประเภทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเพราะคุ้มครองหลายด้าน และครอบคลุมมากที่สุด หลัก ๆ แล้วจะแบ่งความคุ้มครองได้เป็นดังนี้

  1. คุ้มครองรถยนต์ส่วนบุคคล อายุไม่เกิน 15 ปี
    ประกันรถยนต์ชั้น 1 จะให้ความคุ้มครองกับรถยนต์รหัสประเภท 110 หรือรถยนต์ส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง และรถรหัส 320 หรือรถบรรทุกส่วนบุคคล หรือที่เราเรียกว่ารถปิกอัพ และอายุของรถ หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าจะทำประกันชั้น 1 ได้ต้องเป็นรถใหม่ แต่ที่จริงแล้วบริษัทจะรับทำให้กับรถที่อายุถึง 15 ปีเลยทีเดียว
  2. คุ้มครองความเสียหายของตัวรถยนต์
    ให้ความคุ้มครองทั้งตัวรถ และอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ต่าง ๆ ด้วย ครอบคลุมทั้งรถผู้เอาประกันและรถของคู่กรณีซึ่งมีสาเหตุมาจากการชนพาหนะด้วยกันเอง หรือแบบไม่มีคู่กรณี คือชนกับสิ่งอื่น ๆ เช่น เสาไฟ รั้วบ้าน เป็นต้น
  3. คุ้มครองกรณีรถยนต์สูญหายหรือไฟไหม้
    คุ้มครองความเสียหายของตัวรถยนต์ อุปกรณ์ตกแต่ง หรือส่วนควบที่ติดกับรถยนต์อันเกิดจากไฟไหม้ทุกกรณี และคุ้มครองกรณีสูญหายทั้งรถหรืออุปกรณ์ตกแต่งอันเกิดจากการโจรกรรม
  4. คุ้มครองความเสียหายของรถยนต์จากภัยธรรมชาติ
    นอกจากจะคุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุแล้ว ประกันรถยนต์ชั้น 1 ยังคุ้มครองความเสียหายจากภัยธรรมชาติเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม พายุ ดินถล่ม บริษัทประกันจะจ่ายชดเชยค่าเสียหายให้ตามจริงแต่ไม่เกินวงเงินกรมธรรม์
  5. คุ้มครองความเสียหายของรถยนต์ที่เกิดจากการก่อการร้าย
    แม้แต่ความเสียหายจากภัยก่อการร้าย เช่น ระเบิด การวางเพลิง การก่อจลาจล แบบนี้ประกันรถยนต์ชั้น 1 ก็ให้ความคุ้มครองเช่นเดียวกันซึ่งจะจ่ายชดเชยค่าเสียหายตามทุนประกันที่เราทำเอาไว้
  6. คุ้มครองชีวิต ร่างกาย และอนามัยของผู้โดยสารรถยนต์ที่เอาประกันภัยและของบุคคลภายนอก
    ให้ความคุ้มครองทั้งการบาดเจ็บหรือการเสียชีวิตของทั้งผู้โดยสารที่อยู่ในรถคันเอาประกันภัย รวมถึงคู่กรณีและบุคคลภายนอกอันเกิดจากอุบัติเหตุนั้น
  7. คุ้มครองความเสียหายของทรัพย์สินบุคคลภายนอก
    ทรัพย์สินของบุคคลภายนอกก็อย่างเช่น เราขับรถพุ่งเข้าไปชนร้านค้าข้างทางจนได้รับความเสียหาย ในกรณีนี้ประกันรถยนต์ชั้น 1 จะจ่ายชดเชยค่าเสียหายแก่เจ้าของร้านค้าด้วย 
  8. คุ้มครองผู้ขับขี่
    แน่นอนว่าผู้ขับขี่ก็จะได้รับความคุ้มครองจากการทำประกันรถยนต์ชั้น 1 เหมือนกัน โดยจะมีทั้งประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล ค่ารักษาพยาบาล รวมถึงการประกันตัวผู้ขับขี่ แต่ความเสียหายนั้นจะต้องเกิดจากอุบัติเหตุขณะอยู่ในรถ หรือกำลังขึ้น-ลงรถยนต์ที่เอาประกันซึ่งความคุ้มครองเหล่านี้จะอยู่ในเอกสารแนบท้ายกรมธรรม์

ประกันชั้น 1 ไม่คุ้มครองอะไร

แน่นอนว่าแม้ประกันรถยนต์ชั้น 1 จะคุ้มครองครอบคลุมมากที่สุดแล้ว แต่ก็ยังมีบางกรณีที่ประกันประเภทนี้จะไม่คุ้มครองอยู่ด้วย

  1. ขับรถโดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่
    ข้อนี้ไม่ว่ายังไงก็ผิดตั้งแต่ต้น เพราะการขับรถโดยไม่มีหรือไม่พกใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ถือเป็นความผิดตามกฎหมาย ดังนั้นถึงแม้เราจะมีประกันชั้น 1 แต่ถ้าไม่มีใบขับขี่ ไม่ว่าเราจะขับเองหรือให้คนอื่นขับ บริษัทประกันก็จะไม่คุ้มครองในส่วนของผู้เอาประกัน แต่จะคุ้มครองให้แค่ในส่วนของคู่กรณี
  2. เมาแล้วขับ
    ข้อนี้ก็นับว่าเป็นความผิด ดื่มเหล้าจนเมาแล้วมาขับรถ นอกจากจะไร้ความรับผิดชอบต่อผู้อื่นแล้วยังผิดกฎหมายอย่างแรง ดังนั้นไม่ว่าจะกรณีใด มีคู่กรณีหรือไม่ แต่ถ้าขับรถขณะมึนเมา (มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัม) ต่อให้รถเสียหายแค่ไหน บริษัทประกันก็ไม่รับเคลม
  3. ใช้รถอย่างผิดกฎหมาย
    การใช้รถแบบไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น ขนยาเสพติดหรือสิ่งผิดกฎหมาย แน่นอนว่าหากเกิดอุบัติเหตุขึ้น เราจะไม่ได้รับการคุ้มครองจากบริษัทประกันรถยนต์ในทุกกรณี
  4. ดัดแปลงตัวรถ
    หลายคนอาจจะชอบแต่งรถเพื่อให้มีสมรรถนะที่ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะติดตั้งระบบเครื่องยนต์ ระบบเบรกต่าง ๆ ใหม่ หรือแม้กระทั่งแก๊สรถยนต์ ต้องอย่าลืมว่าบริษัทประกันจะให้ความคุ้มครองกับรถและอุปกรณ์ดั้งเดิมเท่านั้น หากอยากให้คุ้มครองครอบคลุมจริง ๆ อาจจะต้องมีการแจ้งกับบริษัทประกันตามเงื่อนไขเพิ่มเติม
  5. ใช้รถยนต์ผิดประเภท
    หากเราจดทะเบียนรถยนต์เป็นรถส่วนบุคคล แต่ดันเอาไปใช้เป็นรถสาธารณะ เช่น ดัดแปลงเป็นรถแท็กซี่ แบบนี้ไม่ว่ายังไงบริษัทประกันก็ไม่รับผิดชอบ เพราะนอกจากผิดกฎหมายแล้ว ยังเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุมากกว่าเดิมด้วย
  6. ตั้งใจให้เกิดอุบัติเหตุ
    หากใครตามข่าวอาจจะเคยเห็นว่าจะมีกรณีที่ยั่วยุโทสะกัน แล้วจงใจพุ่งชนบุคคลหรือทรัพย์สินของคนอื่นจนได้รับความเสียหาย กรณีนี้บริษัทประกันจะไม่รับผิดชอบอย่างเด็ดขาด เพราะเป็นการจงใจให้เกิดความเสียหาย ซึ่งบางครั้งบริษัทประกันอาจมองว่าเราตั้งใจเรียกค่าชดเชยจนฟ้องเรากลับก็ได้เหมือนกัน
  7. ขับรถออกนอกพื้นที่คุ้มครอง
    ยกตัวอย่างเช่น เราทำประกันรถยนต์ที่คุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นภายในราชอาณาจักรไทย แต่ดันเอารถขับไปเที่ยวประเทศลาวแล้วเกิดอุบัติเหตุเข้า กรณีนี้ก็ไม่ได้รับความคุ้มครอง เพราะอยู่พื้นที่นอกเหนือที่กรมธรรม์กำหนดนั่นเอง
  8. กรมธรรม์มีค่าเสียหายส่วนแรก
    เวลาทำประกันรถยนต์ต้องดูด้วยว่าในสัญญามีระบุค่าเสียหายส่วนแรกที่เราต้องจ่ายออกไปเองหรือเปล่า ยกตัวอย่างเช่น หากขับรถประสบอุบัติเหตุโดยไม่มีคู่กรณี บางบริษัทอาจกำหนดให้ผู้เอาประกันต้องเป็นคนรับผิดชอบค่าเสียหายในส่วนแรกไปก่อนไม่เกิน 3,000 บาท นั่นหมายความว่า หากค่าเสียหายอยู่ภายในวงเงินนี้ เราจะต้องออกเองทั้งหมด บริษัทจะจ่ายให้เฉพาะส่วนเกิน เป็นต้น

แนะนำอ่านต่อ : ทำไมรถยนต์ไม่ควรมีติดไว้แค่ พ.ร.บ.


ประกันรถยนต์ชั้น 1 เหมาะกับใครบ้าง

  1. มือใหม่หัดขับ : ผู้ขับรถที่ยังเป็นมือใหม่มีโอกาสประสบอุบัติเหตุได้สูงมาก ๆ ดังนั้นประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมมากที่สุด จึงเหมาะกับคนกลุ่มนี้ที่มีโอกาสประสบอุบัติเหตุได้บ่อยกว่า
  2. รถใหม่ : อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าประกันรถยนต์ชั้น 1 ครอบคลุมทั้งความเสียหายแบบมีคู่กรณีและไม่มีคู่กรณี รวมถึงยังคุ้มครองกรณีรถเกิดไฟไหม้ ประสบภัยพิบัติ หรือแม้แต่โจรกรรม รถสวย ๆ ใหม่ ๆ ย่อมตกเป็นเป้าโจรกรรมได้ง่าย หรือหากเกิดความเสียหายก็ต้องเจอกับราคาค่าซ่อมบำรุงที่แพงกว่ารถเก่า ดังนั้นควรทำประกันชั้น 1 เอาไว้เพื่อความอุ่นใจ
  3. รถที่ยังผ่อนอยู่ : ใครที่ยังมีภาระต้องผ่อนรถอยู่ แนะนำให้ทำประกันรถยนต์ชั้น 1 เอาไว้ เพราะหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา ประกันชั้น 1 ยังครอบคลุมค่าเสียหายหลายส่วนที่เราไม่ต้องไปรับภาระเพิ่ม แน่นอนว่าเบี้ยประกันอาจจะแพงกว่าแบบชั้น 2 หรือ 3 หน่อย แต่สิ่งที่ได้รับรองว่าคุ้มค่ากับชีวิตและทรัพย์สินของเราแน่นอน
  4. รถยนต์ที่ใช้งานหนัก : แม้จะไม่ใช่รถใหม่แล้ว หรือผู้เอาประกันก็มีประสบการณ์ขับขี่มามากแล้ว แต่หากเป็นรถที่ต้องใช้งานเป็นประจำทุกวัน อย่างเช่น รถปิกอัพที่ต้องขนส่งของเป็นประจำ และอายุยังไม่เกิน 15 ปีก็ควรทำประกันชั้น 1 ไว้ เพราะการใช้งานรถเยอะ หมายถึงโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุก็มากขึ้นนั่นเอง

ควรเลือกประกันชั้น 1 อย่างไร

ความจริงแล้วประกันรถยนต์เป็นสิ่งที่เราสามารถเลือกซื้อได้ตามความสมัครใจ ผู้เอาประกันควรเลือกแผนกรมธรรม์ให้เหมาะกับการใช้งานของตัวเองมากที่สุด แต่หากใครที่เข้าข่ายผู้ที่ซื้อรถใหม่ป้ายแดง เป็นมือใหม่หัดขับ หรือมีรถที่ยังผ่อนอยู่ตามข้างต้นแล้วล่ะก็ การมีประกันรถยนต์ชั้น 1 ติดตัวเอาไว้นับว่าช่วยให้อุ่นใจอย่างมาก แต่ทั้งนี้ก่อนตัดสินใจซื้อก็ควรเลือกซื้อจากบริษัทที่ให้บริการครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นบริการฉุกเฉินที่ติดต่อได้ตลอดหากเกิดเหตุ หรือมีบริการศูนย์ซ่อมที่ได้มาตรฐาน 

บทความที่คุณอาจสนใจ

สถานีชาร์จรถไฟฟ้าในกทม. มีที่ไหนบ้าง ?
การบริจาคเลือด กับข้อห้ามที่หลายคนอาจไม่เคยรู้!
ความคุ้มครองภัยธรรมชาติ จำเป็นไหม หากจะทำประกันภัยรถยนต์
ความคุ้มครอง ประกันชั้น 1 ประกันชั้น 2+ ประกันชั้น 2 คุ้มครองเฉพาะคู่กรณี ประกันชั้น 3+ ประกันชั้น 3 คุ้มครองเฉพาะคู่กรณี
รถชน(ไม่มีคู่กรณี)
รถชน(มีคู่กรณี)
ค่ารักษาพยาบาล
รถยนต์สูญหาย
ไฟไหม้
น้ำท่วม

เข้าสู่ระบบ

หากยังไม่มีบัญชีผู้ใช้ กรุณา สมัครสมาชิก

 

สมัครสมาชิก

หากเป็นสมาชิกอยู่แล้วกรุณา ลงชื่อเข้าใช้งาน

Loading..

กำลังดำเนินการ กรุณารอสักครู่ค่ะ 😊