การท่องเที่ยวต่างประเทศกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังจากหลายประเทศเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ หลายคนจึงเริ่มมองหาประเทศในฝัน ที่อยากจะไปท่องเที่ยวหลังอัดอั้นมานาน แต่อย่างที่ทราบกันว่า แต่ละแห่งจะมีเงื่อนไขการเข้าประเทศไม่เหมือนกัน ทั้งประเทศที่ต้องขอการตรวจลงตรา หรือ วีซ่า (Visa) และประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่า (Free Visa) ซึ่งอย่างหลังนี้นับว่าเป็นที่นิยมในหมู่คนไทยมาก เพราะไปเที่ยวได้สะดวกสบาย ไม่ต้องเสียเงินค่าทำวีซ่า หรือความเสี่ยงที่วีซ่าจะไม่ผ่าน
ประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่า (Free Visa) หมายถึงประเทศที่มีนโยบายยกเว้นการตรวจลงตรา หรือวีซ่า หรือมีการทำสนธิสัญญาทวิภาคีระหว่างกันว่าบุคคลจากประเทศฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือทั้งสองฝ่ายจะสามารถเข้าไปประเทศนั้น ๆ ได้โดยไม่ต้องยื่นเรื่องขอวีซ่าล่วงหน้า พูดง่าย ๆ ก็คือเราแค่ถือพาสปอร์ต นั่งเครื่องบินไปลงประเทศปลายทาง และผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเข้าไปในประเทศของเขาได้เลย แต่ละประเทศทั่วโลกจะได้รับการยกเว้นวีซ่าแตกต่างกันไป จากการสำรวจของ The Henley Passport Index เมื่อเดือนกันยายน 2022 พบว่าประเทศที่สามารถไปเที่ยวประเทศอื่นได้โดยไม่ต้องขอวีซ่ามากที่สุด หรือเรียกได้ว่ามีพาสปอร์ตที่ทรงอิทธิพลมากที่สุด ได้แก่ “ประเทศญี่ปุ่น” ที่สามารถถือพาสปอร์ตเข้าไปประเทศอื่นได้อย่างผ่านฉลุยถึง 193 แห่ง ส่วนประเทศไทยนั้นมีประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่าอยู่ 34 แห่ง ในปี 2566
พาสปอร์ตไทย สามารถเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า
พาสปอร์ตของประเทศไทยในปัจจุบันสามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่
1. หนังสือเดินทางทูต (Diplomatic Passport) หน้าปกสีแดงสด
จะมีหนังสือเดินทางประเภทนี้ได้ต้องเป็นบุคคลที่กำหนด เช่น พระบรมวงศ์และพระนัดดาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ข้าราชการที่มีตำแหน่งทางการทูต เป็นต้น โดยจะมีอายุสามารถใช้ได้ไม่เกิน 5 ปี
2. หนังสือเดินทางราชการ (Official Passport) หน้าปกสีน้ำเงินเข้ม
มีไว้สำหรับข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่จัดตั้งตามรัฐธรรมนูญ หรือสมาชิกรัฐสภา เป็นต้น จะใช้เฉพาะในทางราชการเท่านั้น
3. หนังสือเดินทางชั่วคราว (Temporary Passport) หน้าปกสีเขียว
สำหรับพระภิกษุสามเณร และชาวมุสลิมที่ต้องการเดินทางไปประกอบพิธีทางศาสนาฮัจญ์ มีอายุไม่เกิน 1-2 ปี
4. หนังสือเดินทางธรรมดา (Ordinary Passport) หน้าปกสีน้ำตาล
มีไว้สำหรับประชาชนทั่วไป หรือก็คือพาสปอร์ตที่เราถือกันอยู่นี่แหละ
พาสปอร์ตแต่ละแบบสามารถใช้กับประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่าได้แตกต่างกันไป โดยเฉพาะพาสปอร์ตสำหรับทูตหรือราชการ และพาสปอร์ตแบบธรรมดา
- พาสปอร์ตสำหรับทูตหรือราชการ ในปัจจุบันมีประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่ารวมทั้งหมด 86 ประเทศ เช่น ออสเตรีย จีน ญี่ปุ่น อิตาลี เยอรมนี เป็นต้น
- พาสปอร์ตแบบธรรมดาที่เราคนทั่วไปถืออยู่นั้น สามารถใช้กับประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่ารวมทั้งสิ้น 34 ประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ลาว มาเลเซีย ไต้หวัน รัสเซีย เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะไม่ต้องขอวีซ่า แต่ก็ใช่ว่าเราจะเดินดุ่ม ๆ เข้าไปได้เลย หรืออยู่ถึงเมื่อไหร่ก็ได้ โดยเฉพาะการอยู่อย่างผิดกฎหมายนี่ยิ่งไม่ควร ประเทศแต่ละประเทศก็จะกำหนดเงื่อนไข หรือระยะเวลาที่เราสามารถอยู่ในประเทศเขาได้แตกต่างกันไป อย่างเช่น
- ประเทศที่อยู่ได้ไม่เกิน 14 วัน ได้แก่ บาห์เรน บรูไน กัมพูชา เมียนมา ไต้หวัน
- ประเทศที่อยู่ได้ไม่เกิน 15 วัน ได้แก่ ญี่ปุ่น
- ประเทศที่อยู่ได้ไม่เกิน 30 วัน ได้แก่ ฮ่องกง อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ตุรกี เป็นต้น
- ประเทศที่อยู่ได้ไม่เกิน 60 วัน ได้แก่ คีร์กีซสถาน
- ประเทศที่อยู่ได้ไม่เกิน 90 วัน ได้แก่ เกาหลีใต้ เปรู เอกวาดอร์ อาร์เจนตินา เป็นต้น
- ประเทศที่อยู่ได้ไม่เกิน 365 วัน ได้แก่ จอร์เจีย
ทั้งนี้ทั้งนั้น ประเทศหรือเงื่อนไขต่าง ๆ ข้างต้นอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ ก่อนจะไปประเทศไหน อาจจะต้องติดตามข่าวสารดูให้ดีเสียก่อน
พาสปอร์ตไทย สามารถขอ Visa on Arrival (VOA) ได้
ข้างต้นเราพูดถึงการถือพาสปอร์ตของไทยไปเข้าประเทศนั้น ๆ โดยไม่ต้องขอวีซ่า (Free Visa) แต่ยังมีอีกรูปแบบหนึ่งคือการเข้าประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่าล่วงหน้าจากประเทศไทย แต่ต้องถือพาสปอร์ตไปขอวีซ่าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองของประเทศนั้น ๆ หรือที่เรียกว่า Visa on Arrival (VOA) นั่นเอง
ความแตกต่างระหว่าง Free Visa กับ Visa on Arrival ก็คือว่า
- Free Visa หมายถึงประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่าดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น คือ เราแค่ถือพาสปอร์ตพร้อมกับเอกสารจำเป็นอื่น ๆ นำไปยื่นให้ด่านตรวจคนเข้าเมืองของประเทศนั้น ๆ ตรวจสอบความเรียบร้อย หรือประวัติการเข้าประเทศต่าง ๆ เมื่อผ่านแล้ว เจ้าหน้าที่จะแสตมป์วันที่เข้าประเทศ และระบุระยะเวลาที่เราสามารถอยู่ในประเทศนั้น ๆ ได้ลงไป
- Visa on Arrival หรือ VOA หมายถึงประเทศที่ยังจำเป็นต้องมีวีซ่าในการเข้าประเทศนั้น ๆ อยู่ แต่พูดง่าย ๆ ก็คือ เหมือนเราเปลี่ยนที่ขอวีซ่า จากที่ต้องมาขอในประเทศไทยล่วงหน้าตามสถานทูตหรือสถานกงสุลต่าง ๆ กลายเป็นเราต้องไปขอวีซ่าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองของประเทศปลายทางนั่นเอง ซึ่งถึงจะเรียกว่าเป็นวีซ่า แต่ก็ไม่ทำให้เราต้องเสียเวลาจองคิว เพียงแค่ยื่นพาสปอร์ตกับเอกสารสำคัญอื่น ๆ ประกอบไปเท่านั้น
ประเทศไทยมีประเทศที่ไม่ต้องของวีซ่าล่วงหน้า แต่ต้องขอ Visa on Arrival หรือ VOA อยู่ทั้งหมด 9 ประเทศ ได้แก่ โบลิเวีย (ไม่เกิน 30 วัน) ฟิจิ (ไม่เกิน 4 เดือน) จอร์แดน (ไม่เกิน 30 วัน) คีร์กีซสถาน (ไม่เกิน 15 วัน หรือ 1 เดือน) เนปาล (ไม่เกิน 15-90 วัน) นีอูเอ (ไม่เกิน 30 วัน) โอมาน (ไม่เกิน 30 วัน) หมู่เกาะโซโลมอน (ไม่เกิน 3 เดือน) ติมอร์-เลสเต (ไม่เกิน 30 วัน)
สิ่งที่ต้องเตรียมเมื่อไปเที่ยวประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่า
แม้จะเป็นประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่า เพียงแค่มีพาสปอร์ตก็สามารถเข้าประเทศปลายทางได้เลย แต่ก็อาจถูกห้ามไม่ให้เข้าประเทศได้เหมือนกัน ดังเช่นกรณีของประเทศเกาหลีใต้ปฏิเสธไม่ให้คนไทยเข้าประเทศเป็นจำนวนมาก สาเหตุหลัก ๆ อาจมาจากความน่าเชื่อถือของตัวเราว่า เมื่อเข้าประเทศเขาไปแล้ว เราจะไปทำงานอย่างผิดกฎหมายหรือไม่ พำนักเกินเวลาที่กำหนดหรือเปล่า ดังนั้นการเตรียมเอกสารเพื่อแสดงความน่าเชื่อถือของเราเองจึงเป็นสิ่งที่ควรใส่ใจอย่างยิ่ง โดยควรเตรียมเอกสารไปประกอบการยื่นพร้อมพาสปอร์ตที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองดังนี้
- ตั๋วเครื่องบินขากลับ
- แผนการเที่ยวอย่างละเอียด
- หลักฐานการจองโรงแรม หรือ ที่อยู่ที่เราจะไปพำนัก
จุดประสงค์เพื่อการท่องเที่ยว อย่าลืมซื้อประกันเดินทาง
จะเห็นได้ว่า แม้เราจะไปเที่ยวประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่าเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงถูกปฏิเสธวีซ่าได้เหมือนกัน ซึ่งนอกจากความเสี่ยงนี้ยังมีความเสี่ยงอื่น ๆ ที่อาจทำให้ทริปในฝันไม่เป็นไปตามแพลน ทั้งไฟลท์ดีเลย์ กระเป๋าเดินทางหาย เจ็บป่วยระหว่างเที่ยว เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระหรือความเสี่ยงตรงนี้ลง สิ่งที่ขาดไม่ได้อีกหนึ่งอย่างเมื่อเราจะไปเที่ยวต่างประเทศ นั่นคือ ประกันเดินทาง ที่จะให้ความคุ้มครองทั้งกรณีเจ็บป่วยในต่างประเทศ โดยจะมอบค่ารักษาพยาบาลให้ตามวงเงินที่กำหนด ให้ความคุ้มครองอุบัติเหตุและมีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินขณะอยู่ต่างประเทศ ครอบคลุมไปจนถึงกรณีทรัพย์สินสูญหาย หากมีประกันเดินทางติดตัวไว้ รับรองเลยว่าเราจะได้รับการแบ่งเบาภาระในส่วนนี้ลงไปได้เยอะมาก