รถชน คู่กรณีไม่มีประกัน ต้องทำยังไง รับผิดชอบแค่ไหน ?

เขียนวันที่ 27/11/2025 หมวดหมู่ ทุกเรื่องประกันรถยนต์

สรุปใจความสำคัญ

เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน สิ่งที่เจ้าของรถควรทำเป็นอันดับแรกคือทำความเข้าใจ “สิทธิและหน้าที่ของตนเอง” ให้ชัดเจน โดยอยู่บนพื้นฐานว่าใครเป็นฝ่ายถูก-ฝ่ายผิด และมีประกันหรือไม่ เพราะแต่ละเหตุการณ์ย่อมมีรายละเอียดต่างกันออกไป เช่น รถโดนชนท้ายแต่คู่กรณีไม่มีประกัน หรือรถไม่มีประกันแต่เป็นฝ่ายถูก หรือแม้แต่รถชนแล้วเราเป็นฝ่ายผิดแต่ไม่มีประกัน ซึ่งหากไม่รู้แนวทางรับมือ อาจต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด ทั้งที่บางกรณีสามารถขอความคุ้มครองหรือเจรจาตามสิทธิทางกฎหมายได้


โดยทั่วไป “ประกันภัยรถยนต์” มีบทบาทสำคัญในการช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายและทำให้ปัญหาหลังอุบัติเหตุคลี่คลายได้รวดเร็ว แต่เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่มีประกัน เรื่องที่ควรจบง่ายอาจกลายเป็นภาระใหญ่ที่ต้องเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น

ขับชนท้ายรถคนอื่น ไม่มีประกัน ทำอย่างไร

ทำความเข้าใจก่อนว่า “ไม่มีประกัน” หมายถึงอะไร ?

ก่อนอื่นควรรู้ว่า “รถไม่มีประกัน” หมายถึง รถคันนั้นไม่ได้ทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ เช่น ประกันชั้น 1, ชั้น 2+ หรือชั้น 3+ ซึ่งเป็นประเภทที่ให้ความคุ้มครองทั้งฝ่ายผู้ขับและคู่กรณี

อย่างไรก็ตาม รถทุกคันในประเทศไทยจะต้องมี ประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) อยู่แล้วตามกฎหมาย เพื่อคุ้มครองชีวิตและร่างกายของผู้ประสบเหตุในกรณีที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ แต่ พ.ร.บ. ไม่ครอบคลุมถึงทรัพย์สิน เช่น ค่าซ่อมรถหรือทรัพย์สินเสียหายอื่น ๆ ดังนั้น หากไม่มีประกันภาคสมัครใจ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายถูกหรือฝ่ายผิด ก็ต้องเจรจากันเองหรือดำเนินการตามกฎหมายแพ่งต่อไป

รถชนแต่ไม่มีประกันภัยรถยนต์ ทำอย่างไรดี ?

การไม่มีประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ (ประกันชั้น 1, 2+, 3+, 3) หมายความว่าคุณต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเองทั้งหมด การจัดการสถานการณ์จึงจะขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นฝ่ายผิดในอุบัติเหตุนั้น ๆ

กรณีที่ 1: รถชนแล้วเราเป็นฝ่ายผิดแต่ไม่มีประกัน

หากคุณเป็นผู้ก่อเหตุและถูกตัดสินว่าเป็นฝ่ายผิด คุณจะต้องรับผิดชอบค่าเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับคู่กรณีด้วยตัวเอง โดยไม่มีบริษัทประกันมาช่วยรับผิดชอบหรือเจรจาแทน

สิ่งที่ต้องรับผิดชอบ

  • ค่าซ่อมรถและทรัพย์สินของคู่กรณีทั้งหมด
  • ค่ารักษาพยาบาลและการบาดเจ็บของคู่กรณี
  • คุณต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนที่เกินกว่าความคุ้มครองของ พ.ร.บ. (ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ)
  • พ.ร.บ. จะจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้น (เช่น ค่ารักษาพยาบาล) แต่จะมีวงเงินจำกัดตามที่กฎหมายกำหนด
  • หากค่ารักษาพยาบาลของคู่กรณีเกินกว่าวงเงินคุ้มครองสูงสุดของ พ.ร.บ. คุณ (ในฐานะผู้ขับขี่ฝ่ายผิดและไม่มีประกันภาคสมัครใจ) จะต้องรับผิดชอบส่วนต่างที่เหลือทั้งหมด
  • ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ (ระหว่างซ่อม)
  • ค่าเสียหายอื่น ๆ ตามที่กฎหมายกำหนด

สิ่งที่ควรทำทันที

  • ห้ามหลบหนีเด็ดขาด เพราะการหนีจะทำให้ถูกตั้งข้อหาหลบหนีความผิดและมีโทษทางกฎหมาย
  • โทรแจ้งตำรวจทันที เพื่อให้เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบที่เกิดเหตุและบันทึกเหตุการณ์เป็นหลักฐาน
  • ถ่ายภาพร่องรอยการชน ป้ายทะเบียน และสภาพถนนอย่างละเอียด
  • เจรจาค่าเสียหายอย่างเป็นธรรมและรอบคอบกับคู่กรณี
  • เก็บหลักฐานการชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดไว้เป็นลายลักษณ์อักษร

เจ้าของรถกำลังเจรจาเรื่องค่าเสียหาย หลังรถชน แต่คู่กรณีไม่มีประกัน

กรณีที่ 2 รถชน เราเป็นฝ่ายถูกแต่คู่กรณีไม่มีประกัน

หากเกิดเหตุรถชน คุณเป็นฝ่ายถูก แต่คู่กรณีไม่มีประกัน คุณมีสิทธิ์เรียกร้องค่าเสียหายทั้งหมดโดยตรงจากผู้ก่อเหตุ

สิ่งที่ควรทำทันที

  • เรียกตำรวจมาที่เกิดเหตุให้เร็วที่สุด เพื่อให้เจ้าหน้าที่สรุปสาเหตุและลงบันทึกประจำวันระบุว่าคู่กรณีเป็นฝ่ายผิด
  • เก็บหลักฐานให้ครบถ้วนที่สุด เช่น ภาพถ่าย หรือวิดีโอจากกล้องหน้ารถ เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์
  • เรียกร้องค่าเสียหายโดยตรงจากคู่กรณี หากตกลงกันได้ให้ทำข้อตกลงและหลักฐานการชำระเงินให้ชัดเจน
  • หากเกิดการบาดเจ็บ สามารถยื่นเรื่องขอรับสิทธิจาก พ.ร.บ. (ประกันภัยภาคบังคับ) ได้ เนื่องจากรถทุกคันต้องมี พ.ร.บ.
  • หากคุณมีประกันภัยรถยนต์ ควรโทรเรียกประกันมาดูแลทันที เพื่อให้บริษัทประกันภัยเป็นตัวกลางในการจัดการเรื่องค่าเสียหายต่าง ๆ และช่วยประสานงานกับตำรวจและคู่กรณีในการหาข้อตกลง และเจรจาแทนคุณตามที่ได้กล่าวมาทั้งหมด

หากคู่กรณีไม่ยอมชดใช้

  • ให้ดำเนินการรวบรวมหลักฐานทั้งหมด เช่น ใบบันทึกประจำวัน และใบเสนอราคาซ่อม
  • ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งในศาลเพื่อบังคับให้คู่กรณีชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมด

กรณีที่ 3: การจัดการอุบัติเหตุ "รถชนท้าย" เมื่อไม่มีประกันภัย

อุบัติเหตุชนท้ายเป็นกรณีที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง แม้ว่าตามหลักการทั่วไปรถคันหลังมักเป็นฝ่ายผิด แต่การจัดการและการเรียกร้องค่าเสียหายจะขึ้นอยู่กับว่าคุณอยู่ในฐานะ "ฝ่ายถูก" หรือ "ฝ่ายผิด" ซึ่งทั้งสองกรณีจะมีความยุ่งยากเพิ่มขึ้นเมื่อไม่มีประกันภัยภาคสมัครใจเข้ามาช่วยเหลือ

รถโดนชนท้าย คู่กรณีไม่มีประกัน

ในสถานการณ์ที่คุณถูกรถคันหลังพุ่งชน และคู่กรณีไม่มีประกัน คุณคือผู้เสียหายที่มีสิทธิ์เรียกร้องค่าเสียหายทั้งหมดโดยตรงจากผู้ชน

การสรุปความผิดและหลักฐาน

  • โทรแจ้งตำรวจทันที เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบ และทำการบันทึกประจำวันที่ระบุว่าคู่กรณีเป็นฝ่ายผิด
  • หลักฐานสำคัญที่สุดคือวิดีโอจากกล้องหน้ารถและภาพถ่ายร่องรอยความเสียหาย เพื่อยืนยันว่าคุณไม่ได้เบรกอย่างประมาท

การเรียกร้องค่าเสียหาย

  • คุณต้องเรียกร้องค่าใช้จ่ายทั้งหมดโดยตรงจากผู้ชนท้าย เช่น ค่าซ่อมรถ (ตามใบเสนอราคาจากอู่/ศูนย์) ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ (ระหว่างรอซ่อม) และใช้สิทธิ พ.ร.บ. ของรถคู่กรณีสำหรับค่ารักษาพยาบาล
  • หากคู่กรณีไม่ยอมชดใช้ คุณจะต้องรวบรวมหลักฐานและดำเนินการฟ้องร้องทางแพ่งในศาล เพื่อให้ศาลมีคำสั่งบังคับให้ชดใช้ค่าเสียหาย

คุณเป็นฝ่ายชนท้ายรถคันอื่น และคุณไม่มีประกัน

ในสถานการณ์ที่คุณขับรถไปชนท้ายคันหน้า และคุณไม่มีประกัน คุณคือผู้ก่อเหตุที่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดเอง

ความรับผิดชอบเบื้องต้น

  • โดยทั่วไป คุณจะถูกตัดสินว่าเป็นฝ่ายผิดเพราะไม่สามารถควบคุมรถให้อยู่ในระยะปลอดภัยได้
  • ห้ามหนีจากที่เกิดเหตุเด็ดขาด ให้โทรแจ้งตำรวจและให้ความช่วยเหลือคู่กรณี

ภาระค่าใช้จ่าย

  • คุณต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดของคู่กรณีด้วยเงินส่วนตัวของคุณเอง ได้แก่ ค่าซ่อมรถ ค่ารักษาพยาบาล และค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ
  • ควรเจรจาตกลงกับคู่กรณีเรื่องค่าเสียหายอย่างยุติธรรม โดยต้องขอใบเสนอราคาจากอู่หรือศูนย์บริการ

ข้อควรระวัง

  • การชดใช้ค่าเสียหายควรทำเป็นลายลักษณ์อักษร หรือเก็บหลักฐานการโอนเงิน/ใบเสร็จให้ครบถ้วน เพื่อป้องกันปัญหาการเรียกร้องซ้ำซ้อนในอนาคต

ทำไมควรมีประกันภัยรถยนต์ไว้เสมอ ?

อุบัติเหตุบนท้องถนนสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แม้ว่าคุณจะขับอย่างระมัดระวังก็ตาม เพราะความผิดพลาดอาจมาจากผู้อื่นหรือเหตุสุดวิสัย เช่น ถนนลื่น ฝนตกหนัก หรือรถคันหน้าหยุดกะทันหัน

ดังนั้น “การมีประกันภัยรถยนต์” จึงเปรียบเสมือนเกราะป้องกันที่ช่วยลดภาระทางการเงินและเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นฝ่ายถูกหรือฝ่ายผิด บริษัทประกันจะเข้ามาช่วยดูแลและจัดการในทุกขั้นตอน

ประโยชน์ของการมีประกันภัยรถยนต์ ได้แก่

  • ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ เพราะบริษัทประกันจะรับผิดชอบค่าซ่อม ค่ารักษา และค่าเสียหายอื่น ๆ
  • มีผู้เชี่ยวชาญดูแลทุกขั้นตอน ตั้งแต่แจ้งเหตุ เคลม ไปจนถึงเจรจากับคู่กรณี
  • คุ้มครองทั้งชีวิตและทรัพย์สินของคุณ รวมถึงบุคคลภายนอก
  • เพิ่มความมั่นใจทุกครั้งที่ขับรถ เพราะรู้ว่ามีที่พึ่งเมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิด

หากคุณยังไม่มีประกันภัยรถยนต์ หรืออยากเลือกความคุ้มครองที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม gettgo มีตัวเลือกใหม่อย่าง “ประกันภัยรถยนต์รายเดือน” ที่ให้คุณเลือกคุ้มครองได้ตามการใช้งานจริง ไม่ว่าจะ 30, 90 หรือ 180 วัน ด้วยเบี้ยเริ่มต้นเพียงหลักร้อย แต่คุ้มครองสูงสุดถึงหลักล้าน เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้รถไม่บ่อยหรืออยากจ่ายเฉพาะช่วงจำเป็น

สมัครง่ายผ่านระบบออนไลน์ ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที แค่กรอกข้อมูลรถ เช่น ยี่ห้อ รุ่น ปีจดทะเบียน จังหวัด และระยะเวลาคุ้มครอง ระบบจะแสดงเบี้ยประกันให้ตรวจเช็กและซื้อได้ทันที หากสนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ทาง LINE OA: @gettgo หรือโทร. 02-111-7800

ประกันรถยนต์รายเดือน Gettgo จ่ายเท่าที่ใช้ ยืดหยุ่น สมัครง่าย ยกเลิกได้

ข้อมูลอ้างอิง

  1. Car Accident With No Insurance (2025 Guide). สืบค้นเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 จาก https://www.forbes.com/advisor/legal/auto-accident/car-accident-no-insurance/.
บทความที่คุณอาจสนใจ