
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักเดินทางทั่วโลกได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด จากเดิมที่การท่องเที่ยวมักเป็นแบบหมู่คณะและตามสถานที่ยอดนิยม มาเป็นการมองหาประสบการณ์ที่แปลกใหม่ เป็นส่วนตัว และตอบสนองความต้องการเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ปรากฏการณ์นี้เองที่ผลักดันให้ "การท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่ม" หรือ "Niche Tourism" คือเทรนด์การท่องเที่ยวที่ได้รับความสนใจอย่างก้าวกระโดด
Niche Tourism คืออะไร ?
Niche Tourism คือรูปแบบการท่องเที่ยวที่มุ่งเน้นไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีความสนใจหรือมีวัตถุประสงค์เฉพาะเจาะจง แตกต่างจากการท่องเที่ยวทั่วไปที่มักเน้นจุดหมายปลายทางยอดนิยม โดย Niche Tourism จะให้ความสำคัญกับ “ประสบการณ์เฉพาะตัว” เช่น นักท่องเที่ยวที่หลงใหลในศิลปะ อาจเดินทางเพื่อตามรอยพิพิธภัณฑ์และงานศิลปะที่ซ่อนอยู่ในเมืองเล็ก ๆ ในขณะที่นักท่องเที่ยวสายผจญภัยอาจมุ่งหน้าสู่การปีนเขาหรือการดำน้ำสำรวจโลกใต้ทะเล การท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่มเช่นนี้จึงเป็นมากกว่าการเดินทาง แต่เป็นการเติมเต็มความต้องการเฉพาะบุคคลและสร้างความทรงจำที่ไม่อาจหาได้จากการเดินทางแบบเดิม ๆ
เหตุผลที่ Niche Tourism ได้รับความนิยม
ความสำเร็จของ Niche Tourism มีที่มาจากหลายปัจจัย ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของค่านิยมและพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวในยุคปัจจุบัน ดังนี้
ประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวและแตกต่าง
นักเดินทางยุคใหม่ต้องการมากกว่าการเช็กอินในสถานที่ดัง แต่แสวงหาประสบการณ์เฉพาะที่สะท้อนตัวตนและความสนใจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าร่วมเวิร์กช็อปทำอาหารท้องถิ่นกับชาวบ้าน การเรียนรู้งานหัตถกรรมดั้งเดิม หรือการผจญภัยในธรรมชาติที่ห่างไกลผู้คน
เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น
นักท่องเที่ยวค้นหาข้อมูลจากทั่วโลกได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นทางบล็อก รีวิว วิดีโอ หรือโซเชียลมีเดีย จึงเกิดแรงบันดาลใจในการเดินทางตามความสนใจของตนเอง อีกทั้งแพลตฟอร์มการจองออนไลน์ยังช่วยให้การจัดการเดินทางแบบ DIY เป็นไปได้ง่ายขึ้น นักท่องเที่ยวสามารถวางแผนการเดินทางที่เหมาะกับความต้องการได้อย่างอิสระ
เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์เติบโต
การท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่มหลายรูปแบบเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เช่น งานศิลปะ ดนตรี งานหัตถกรรม และอาหาร นักท่องเที่ยวต้องการสัมผัสกับวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ของท้องถิ่นอย่างแท้จริง จึงไม่เพียงแค่ซื้อของที่ระลึกจากร้านค้าทั่วไป แต่ยังมีส่วนร่วมกับกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชน ทำให้เกิดการกระจายรายได้ออกไปเป็นวงกว้าง และส่งเสริมให้การเดินทางมีความหมายมากยิ่งขึ้น

ตัวอย่างประเภทของ Niche Tourism ในประเทศไทย
ประเทศไทยถือเป็นจุดหมายปลายทางที่มีความหลากหลายสูง และสามารถรองรับ Niche Tourism ได้หลายแขนง ตัวอย่างที่โดดเด่นและกำลังเติบโต ได้แก่
การท่องเที่ยวเชิงเกษตร (Agro-tourism)
การท่องเที่ยวประเภทนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสวิถีชีวิตเกษตรกร เช่น การปลูกข้าว เก็บผลไม้ตามฤดูกาล หรือเรียนรู้การทำเกษตรอินทรีย์ในจังหวัดเชียงใหม่ นครปฐม และราชบุรี ซึ่งช่วยสร้างรายได้โดยตรงให้แก่ชุมชน
การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและเวลเนส (Health & Wellness Tourism)
ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่สำคัญของเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นการนวดแผนไทย สปา โยคะ การทำสมาธิ หรือการบำบัดด้วยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก หลายรีสอร์ตและโรงพยาบาลในไทยมีโปรแกรมดีท็อกซ์ โปรแกรมลดน้ำหนัก และการรักษาสุขภาพแบบองค์รวม
การท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism)
อาหารไทยเป็นที่รู้จักและชื่นชอบไปทั่วโลก ส่งผลให้การท่องเที่ยวเชิงอาหารเป็นอีกหนึ่ง Niche Tourism ที่มีศักยภาพสูงมาก นักท่องเที่ยวที่หลงใหลในอาหารมักต้องการเรียนรู้วิธีการทำอาหาร ศึกษาเกี่ยวกับวัตถุดิบและเครื่องเทศต่าง ๆ รวมถึงการไปเยี่ยมชมตลาดสดและแหล่งผลิตอาหาร ทำให้คลาสสอนทำอาหารไทยได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวหลักอย่างกรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภูเก็ต
การท่องเที่ยวเชิงกีฬาและผจญภัย (Sport & Adventure Tourism)
การท่องเที่ยวเชิงกีฬาและผจญภัย เป็นอีกหนึ่งรูปแบบที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบความท้าทาย รวมถึงต้องการสัมผัสธรรมชาติและทัศนียภาพที่สวยงามของไทยในมุมมองที่แตกต่างออกไป ไม่ว่าจะเป็นการดำน้ำสำรวจแนวปะการังที่เกาะสิมิลันหรือเกาะเต่า การปีนหน้าผาที่กระบี่ การล่องแก่งที่แม่น้ำในภาคเหนือ การเดินป่าเขาใหญ่ การปั่นจักรยานเสือภูเขา จนถึงกีฬาทางน้ำต่าง ๆ เช่น ซัปบอร์ด เจ็ตสกี และเรือใบ
ผลกระทบเชิงบวกของ Niche Tourism
การเติบโตของ Niche Tourism นอกจากจะตอบสนองการสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ไม่ซ้ำใคร ยังสร้างประโยชน์อย่างมหาศาลต่อประเทศและชุมชนที่รองรับ ดังนี้
ช่วยกระจายรายได้
การท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่มมักจะเกิดขึ้นที่เมืองรอง หรือพื้นที่ที่ไม่ได้เป็นจุดหมายหลัก ส่งผลให้เม็ดเงินการท่องเที่ยวกระจายไปยังชุมชนท้องถิ่นอย่างทั่วถึง แทนที่จะกระจุกตัวอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวหลักเพียงแห่งเดียว
อนุรักษ์วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม
การท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่มส่งเสริมให้ผู้คนเห็นคุณค่าในวัฒนธรรมท้องถิ่นและธรรมชาติ ลดการทำลายสิ่งแวดล้อมจากการท่องเที่ยวเชิงปริมาณ รวมถึงชุมชนยังต้องรักษาวัฒนธรรม วิถีชีวิต และสภาพแวดล้อมดั้งเดิมเอาไว้ เพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวได้อย่างยาวนานและยั่งยืน
ลดความแออัดของแหล่งท่องเที่ยวหลัก
เมื่อการท่องเที่ยวมีทางเลือกที่น่าสนใจมากขึ้น นักท่องเที่ยวจะไม่จำเป็นต้องไปรวมตัวกันในสถานที่ยอดนิยมเท่านั้น นับเป็นการช่วยแบ่งเบาความหนาแน่นจากเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ หรือเชียงใหม่ และกระจายนักท่องเที่ยวไปยังจังหวัดเมืองรองรอบข้างอย่างมีประสิทธิภาพ
เพิ่มมูลค่าให้แก่การท่องเที่ยว
เมื่อเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ การท่องเที่ยวไทยสามารถสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกและดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติระดับพรีเมียมได้มากขึ้น
นอกจากการท่องเที่ยวแบบ Niche Tourism ในไทยแล้ว การได้ไปเรียนรู้วัฒนธรรมและผจญภัยยังต่างประเทศก็เป็นอีกหนึ่งความปรารถนาของนักท่องเที่ยวทั้งหลายด้วยเช่นกัน โดยมีหนึ่งสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม สำหรับคนที่มีแผนจะเดินทางไปต่างประเทศ คือการทำประกันเดินทาง กับ gettgo ซึ่งจะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่า หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น การเจ็บป่วย การสูญเสียทรัพย์สิน หรือการถูกยกเลิกเที่ยวบิน คุณจะได้รับการดูแลอย่างรวดเร็วและครบถ้วน
หากสนใจ สามารถตรวจเช็กค่าเบี้ยประกันภัยได้ทันทีผ่านเว็บไซต์ของ gettgo หรือสอบถามเพิ่มเติมผ่าน LINE OA: @gettgo หรือโทร. 02-111-7800
ข้อมูลอ้างอิง
- Tourism at a crossroad: อนาคตภาคการท่องเที่ยวไทย เดินต่ออย่างไรในฟ้าหลังฝน. สืบค้นเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 จาก https://www.bot.or.th/th/research-and-publications/articles-and-publications/articles/Article_1Aug2021.html
- Niche tourism (special interest tourism). สืบค้นเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 จาก https://www.ebsco.com/research-starters/sports-and-leisure/niche-tourism-special-interest-tourism