ถ้ามีการสอบถามความคิดเห็นว่าโรคอะไรน่ากลัวที่สุด โรคมะเร็งคงเป็นคำตอบของหลายคน ซึ่งจากข้อมูลโรคมะเร็งก็น่ากลัวสำหรับคนไทยจริง เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขพบว่าในปีพ.ศ. 2548-2552 โรคมะเร็งเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของการเสียชีวิตของคนไทย แม้ว่าผู้ป่วยจะสามารถเข้าถึงการรักษามะเร็งได้มากกว่าเดิมก็ตาม
สถิติปี 2552 มีผู้ป่วยเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งและเนื้องอกทุกชนิด 56,058 คน โดยอัตราการตายอยู่ที่ 88.34 ต่อประชากร 100,000 คน นอกจากนั้นแพทยสภายังเพิ่มเติมอีกว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยมะเร็งปีหนึ่งแสนกว่าคน เสียชีวิตชั่วโมงละ 8 คน หรือกว่า 7,000 คนต่อปี ซึ่งสูงที่สุดในภาคพื้นเอเชียเลยทีเดียว
ดังนั้นแม้จะไม่มีใครอยากเป็นโรคนี้ แต่ก็จำเป็นต้องเตรียมพร้อม โดยหาข้อมูลในการรักษามะเร็งไว้ล่วงหน้า และที่สำคัญที่สุดก็คือ ข้อมูลเกี่ยวกับประกันสังคม ที่เป็นสิทธิ์ในการรักษาที่จะช่วยแบ่งเบาภาระให้กับผู้ประกันตนได้เป็นอย่างดี
สิทธิประกันสังคมกับการรักษามะเร็งที่คุณควรรู้
เว็บไซต์ของสำนักงานประกันสังคมระบุว่าประกาศคณะกรรมการการแพทย์ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 เรื่องหลักเกณฑ์และอัตราสำหรับประโยชน์ทดแทน ในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน มีการรักษาโรคมะเร็งอยู่ 10 ชนิด ที่สามารถใช้สิทธิประกันสังคมรักษาได้โดยไม่ต้องจ่ายเอง คือ
1. โรคมะเร็งเต้านม
2. โรคมะเร็งปากมดลูก
3. โรคมะเร็งรังไข่
4. โรคมะเร็งโพรงจมูก
5. โรคมะเร็งปอด
6. โรคมะเร็งหลอดอาหาร
7. โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งลำไส้ส่วนปลาย
8. โรคมะเร็งตับและท่อน้ำดี
9. โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
10. โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
ซึ่งทั้งหมดนี้การใช้สิทธิประกันสังคมในการรักษาจะต้องปฏิบัติตามแนวทาง และเงื่อนไขที่สำนักงานประกันสังคมที่กำหนด เช่น ผู้ป่วยจะต้องเข้ารับการรักษามะเร็งในสถานพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิ์ ซึ่งสถานพยาบาลที่เลือกไว้นั้นจะให้บริการทางการแพทย์แก่ผู้ประกันตนจนสิ้นสุดการรักษา โดยไม่จำกัดวงเงินค่าใช้จ่าย และจำนวนครั้งในการรักษา ทั้งจะไม่เรียกเก็บเงินจากผู้ประกันตน ยกเว้นจะมีค่าใช้จ่ายในการบริการด้านอื่น ๆ ที่อยู่นอกเหนือสิทธิ์ประกันสังคม เช่น การใช้ยาที่อยู่นอกบัญชียาหลัก ที่จะทำให้สิทธิการรักษามะเร็งขั้นพื้นฐานไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายยาในส่วนนี้
กรณีผู้ประกันตนเข้ารับบริการทางการแพทย์ ณ สถานพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิ์ แล้วสถานพยาบาลไม่สามารถให้การรักษาพยาบาลแก่ผู้ประกันตนได้ และได้ส่งผู้ประกันตนไปรักษาพยาบาลต่อ ณ สถานพยาบาลที่มีศักยภาพสูงกว่า (Supra Contractor) หรือผู้ประกันตนไม่ประสงค์ไปรับบริการทางการแพทย์ที่สถานพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิ์ แต่ไปรับบริการทางการแพทย์ที่มีศักยภาพสูงกว่า ที่ได้ทำบันทึกข้อตกลงร่วมกับสำนักงานประกันสังคมในการให้บริการทางการแพทย์แก่ผู้ประกันตน สถานพยาบาลดังกล่าวจะต้องแจ้งให้สถานพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิ์รับทราบด้วย ซึ่งในกรณีนี้จะต้องมีใบส่งตัวจากสถานพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิ์ และอาจจะต้องมีค่าใช้จ่ายส่วนเกินที่ต้องจ่ายเอง
ส่วนกรณีเป็นโรคมะเร็งชนิดอื่นนอกเหนือจากมะเร็ง 10 ชนิดที่กำหนด ผู้ป่วยยังสามารถใช้สิทธิ์ประกันสังคมรักษาได้ตามข้อกำหนดของโรงพยาบาลต้นสังกัด ในกรณีที่ต้องให้เคมีบำบัดหรือรังสีรักษา หรือยารักษาโรคมะเร็ง ประกันสังคมจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามจริง แต่ไม่เกิน 15,000 ต่อรายต่อปี
จะเห็นว่าแม้จะเป็นผู้ประกันตนที่สามารถใช้สิทธิ์ประกันสังคมในการรักษาโรคมะเร็งได้ แต่ก็ยังถือว่าไม่ครอบคลุมในการรักษาทั้งหมด เพราะถ้าเป็นมะเร็งที่นอกเหนือจาก 10 โรคมะเร็งที่กำหนด คุณจะต้องมีค่าใช้จ่ายส่วนเกินเพิ่มเติมเข้ามาไม่น้อยทีเดียว อีกทั้งตัวยาบางตัวที่มีความสำคัญแต่อยู่นอกเหนือบัญชียาหลักก็ไม่สามารถใช้ได้ นอกจากจะเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเอง ดังนั้นแม้จะมีสิทธิ์ประกันไว้ก็อย่าเพิ่งนิ่งนอนใจ แต่ควรเตรียมตัวเพื่อการดูแลตัวเองไว้หลาย ๆ ทางจะเป็นการดีที่สุด อาทิ การทำประกันสุขภาพที่ครอบคลุมโรคมะเร็ง ก็อุ่นใจว่า อย่างน้อยเราก็มีคนดูแลค่าใช้จ่ายให้ครับ