การมีรถยนต์ส่วนตัวสักคัน ถือเป็นความสะดวกสบายและอิสระในการเดินทาง แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนมือเจ้าของ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขาย การให้หรือการรับมรดก การทำเรื่องโอนรถให้ถูกต้องตามกฎหมายเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้การเป็นเจ้าของรถมีผลสมบูรณ์และไม่เกิดปัญหาในภายหลัง
สำหรับผู้ที่เพิ่งเคยทำเรื่องโอนรถยนต์เป็นครั้งแรก คงมีคำถามในใจอยู่มากมาย เช่น “โอนรถใช้เอกสารอะไรบ้าง ?” “ต้องใช้จำนวนกี่ชุด ?” “สามารถมอบอำนาจให้ผู้อื่นทำแทนได้หรือไม่ ?” จนทำให้รู้สึกยุ่งยากและกังวลใจ ดังนั้น เพื่อช่วยคลายข้อสงสัยเหล่านี้ เราจึงมาบอกเรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับการโอนรถยนต์ เพื่อช่วยให้คุณสามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว
การโอนรถ คืออะไร ?
การโอนรถ หรือการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ คือ กระบวนการเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองในเอกสารทะเบียนรถจากเจ้าของเดิมไปยังเจ้าของใหม่ เป็นขั้นตอนทางกฎหมายที่รับรองว่าคุณได้เป็นเจ้าของรถอย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะต้องดำเนินการเมื่อมีการซื้อ-ขายรถยนต์ รวมถึงการรับมรดก หรือการได้รับรถยนต์เป็นของขวัญด้วย ซึ่งการโอนกรรมสิทธิ์นี้ ต้องทำที่กรมการขนส่งทางบก หรือสำนักงานขนส่งในแต่ละจังหวัด เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบกฎหมายจราจรของประเทศไทย
การโอนรถยนต์ มีกี่แบบ อะไรบ้าง ?
เมื่อต้องการเปลี่ยนกรรมสิทธิ์รถยนต์ คุณสามารถเลือกวิธีการโอนได้ 2 แบบหลัก ได้แก่
การโอนรถยนต์แบบโอนตรง
การโอนรถยนต์แบบโอนตรง คือ การที่ผู้ขายและผู้ซื้อไปดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ด้วยกันที่กรมการขนส่งทางบก โดยทั้งสองฝ่ายต้องไปแสดงตัวพร้อมกัน นำรถไปตรวจสภาพ รวมถึงยื่นเอกสารต่าง ๆ ตามที่กำหนด ซึ่งการโอนแบบนี้ถือเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด สามารถเสร็จสิ้นได้ในวันเดียว และไม่ต้องกังวลว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา
การโอนรถยนต์แบบโอนลอย
การโอนรถยนต์แบบโอนลอย คือ การที่ผู้ขายเซ็นเอกสารโอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้ซื้อไว้ล่วงหน้า โดยไม่ได้ระบุชื่อผู้รับโอน และไม่ต้องไปดำเนินการที่กรมการขนส่งทางบกพร้อมกัน ผู้ซื้อสามารถนำเอกสารไปโอนกรรมสิทธิ์ในภายหลังได้ การโอนแบบนี้มักนิยมใช้ในกรณีที่ทั้งสองฝ่ายไม่สะดวกไปกรมขนส่งฯ พร้อมกัน หรือต้องการความยืดหยุ่นในการโอน
ข้อควรระวังสำหรับการโอนลอย
การโอนลอยมีความเสี่ยงสำหรับทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย โดยผู้ขายยังคงต้องรับผิดชอบ หากรถยนต์คันนั้นมีการนำไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย ในขณะที่ผู้ซื้ออาจประสบปัญหาการโอนกรรมสิทธิ์ในภายหลัง เนื่องจากเอกสารไม่สมบูรณ์หรือติดต่อผู้ขายไม่ได้
การโอนรถใช้เอกสารอะไรบ้าง ?
สำหรับผู้ที่สงสัยว่าการโอนรถใช้เอกสารอะไรบ้าง ? ก่อนเดินทางไปยังกรมการขนส่งทางบกจะได้จัดเตรียมไว้ให้พร้อม เพื่อให้กระบวนการโอนรถยนต์เป็นไปอย่างราบรื่น ต้องบอกว่าเอกสารที่ควรเตรียมนั้นจะแตกต่างกันตามวิธีการโอนและสถานการณ์ โดยกรณีมีดังนี้
เอกสารโอนรถยนต์แบบโอนตรงที่กรมการขนส่งทางบก
สำหรับการโอนรถยนต์แบบโอนตรง ต้องเตรียมเอกสาร ดังนี้
เอกสารของผู้โอน (ผู้ขาย)
- บัตรประจำตัวประชาชนตัวจริง พร้อมสำเนา 1 ชุด
- สำเนาทะเบียนบ้าน 1 ชุด
- เล่มทะเบียนรถยนต์ (สมุดคู่มือจดทะเบียนรถ)
- หลักฐานการชำระภาษีรถยนต์ประจำปีที่เป็นปัจจุบัน
เอกสารของผู้รับโอน (ผู้ซื้อ)
- บัตรประจำตัวประชาชนตัวจริง พร้อมสำเนา 1 ชุด
- สำเนาทะเบียนบ้าน 1 ชุด
- หนังสือสัญญาซื้อขายรถยนต์ (ถ้ามี)
แบบฟอร์มจากกรมการขนส่งทางบก
- คำขอโอนรถ
- หนังสือมอบอำนาจ (กรณีที่ไม่ได้ไปดำเนินการด้วยตนเอง)
- แบบฟอร์มรับรองการตรวจสภาพรถ
เอกสารโอนลอยรถยนต์
หากเลือกการโอนรถยนต์แบบโอนลอย เอกสารที่ต้องเตรียม มีดังนี้
เอกสารที่ผู้ขายต้องเตรียมให้ผู้ซื้อ
- เล่มทะเบียนรถยนต์
- บัตรประจำตัวประชาชนของผู้ขาย (สำเนา) พร้อมเซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง
- สำเนาทะเบียนบ้านของผู้ขาย พร้อมเซ็นรับรอง
- แบบฟอร์มใบโอนกรรมสิทธิ์ที่เซ็นชื่อไว้แล้ว (ไม่ระบุชื่อผู้รับโอน)
- หนังสือมอบอำนาจโอนทะเบียนรถยนต์ที่เซ็นชื่อแล้ว (ติดอากรแสตมป์ 10 บาท)
- ใบเสร็จรับเงินค่าซื้อขายรถยนต์ (หากมี)
เอกสารที่ผู้ซื้อต้องเตรียมเมื่อนำไปโอนที่กรมการขนส่งทางบก
- บัตรประจำตัวประชาชนของผู้ซื้อ
- สำเนาทะเบียนบ้านของผู้ซื้อ
- แบบฟอร์มคำขอโอนรถ ที่กรอกรายละเอียดครบถ้วน
เอกสารโอนรถยนต์ ในกรณีเป็นมรดกตกทอด
หากเป็นการโอนรถยนต์ในกรณีที่เจ้าของรถเสียชีวิตและต้องการโอนให้ทายาท เอกสารที่ต้องเตรียม ดังนี้
เอกสารทั่วไป
- เล่มทะเบียนรถยนต์
- บัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมรดก และสำเนาทะเบียนบ้าน
- ใบมรณบัตรของเจ้าของรถ
- หลักฐานแสดงการเป็นทายาท เช่น สูติบัตร ทะเบียนสมรส
เอกสารเพิ่มเติม
- หนังสือแสดงการจัดการมรดก (ถ้ามี)
- คำสั่งศาลตั้งผู้จัดการมรดก (กรณีมีพินัยกรรม)
- หนังสือยินยอมจากทายาทคนอื่น (กรณีมีทายาทหลายคน)
กระบวนการโอนกรรมสิทธิ์รถมีอะไรบ้าง ?
สำหรับกระบวนการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์มีขั้นตอน ดังนี้
- เตรียมเอกสารที่ใช้ในการโอน พร้อมตรวจสอบว่าครบถ้วนและถูกต้อง โดยเฉพาะเอกสารสำคัญอย่างเล่มทะเบียนรถและบัตรประจำตัวประชาชนของทั้งผู้โอนและผู้รับโอน
- เดินทางไปยังสำนักงานขนส่งที่สะดวก ซึ่งสามารถไปดำเนินการได้ที่สำนักงานขนส่งทั่วประเทศ ไม่จำเป็นต้องเป็นจังหวัดที่จดทะเบียนรถไว้ โดยควรไปถึงแต่เช้าเพื่อหลีกเลี่ยงความแออัด
- ตรวจสภาพรถที่กรมการขนส่งทางบก หรือสำนักงานขนส่งทั่วประเทศ เพื่อยืนยันว่ารถยนต์อยู่ในสภาพดี ปลอดภัย และตรงตามที่ระบุในเอกสาร
- ยื่นเอกสารเพื่อโอนกรรมสิทธิ์ หลังจากตรวจสภาพรถเรียบร้อยแล้ว โดยเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร และประเมินราคารถเพื่อคำนวณค่าธรรมเนียมและอากรแสตมป์
- ชำระค่าธรรมเนียมการโอน ตามที่สำนักงานขนส่งกำหนด ซึ่งจะขึ้นอยู่กับประเภทและราคาประเมินของรถยนต์
- รอรับเล่มทะเบียน ที่มีชื่อผู้รับโอนเป็นเจ้าของคนใหม่ โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมงในการดำเนินการทั้งหมด
ค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์
การโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์มีค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- ค่าคำขอโอนรถเปลี่ยนเจ้าของ 5 บาท
- ค่าธรรมเนียมการโอนรถ 100 บาท
- ค่าเปลี่ยนเล่มทะเบียน 100 บาท (กรณีเล่มทะเบียนชำรุด)
- ค่าเปลี่ยนป้ายทะเบียน 200 บาท (กรณีต้องการเปลี่ยน)
- ค่าอากรแสตมป์ 500 บาท ต่อการประเมินราคารถยนต์ 100,000 บาท
การโอนรถยนต์อาจดูเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่หากเตรียมเอกสารให้ครบและเข้าใจขั้นตอนต่าง ๆ อย่างถี่ถ้วน ก็จะสามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น และเมื่อมีรถยนต์เป็นของตนเองแล้ว ต้องไม่ลืมที่จะทำประกันรถยนต์ เพื่อเป็นหลักประกันหากเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันบนท้องถนน มาทำประกันรถยนต์แบบบออนไลน์ได้ที่ gettgo ตรวจเช็กเบี้ยประกันได้ทันทีผ่านเว็บไซต์ หรือสอบถามเพิ่มเติมผ่าน LINE OA: @gettgo หรือโทร. 02-111-7800
ข้อมูลอ้างอิง
- แบบคำขอโอนและรับโอน. สืบค้นเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 จาก https://suphanburi.dlt.go.th/58eform/ins_car_trn.pdf
- การโอนกรรมสิทธิ์รถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก. สืบค้นเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 จาก https://kpt.dlt.go.th/web-upload/51x532d85b7c5afeb48926086efa8fa29d6/tinymce/224-33cf6b131b13d7b4a024f32802e29f6e/14%20คู่มือเจ้าหน้าที่/2-11.pdf