ประกันของเรา
บทความ
เกี่ยวกับ gettgo

ต่อประกันรถยนต์ต้องทำอย่างไรบ้าง

ต่อประกันรถยนต์ต้องทำอย่างไรบ้าง

ประกันรถยนต์เป็นสิ่งที่มีไว้ดีกว่าขาดสำหรับผู้ที่มีรถยนต์ เพราะจะช่วยแบ่งเบาภาระของเราได้อย่างมากหากเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น เมื่อซื้อแล้วเราก็ต้องต่อประกันรถยนต์ทุกปี เพื่อให้ได้ความคุ้มครองที่ต่อเนื่อง หลายคนอาจจะเลือกต่อสัญญากับเจ้าเดิม แต่หลายคนโดยเฉพาะมือใหม่ที่กำลังจะหมดสัญญากับประกันซึ่งแถมมากับรถยนต์ ก็อาจจะอยากเปลี่ยนเป็นประกันเจ้าใหม่ที่ให้ความคุ้มครองแบบคุ้มค่ามากกว่า แต่ยังไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร แต่ไม่ต้องห่วง เพราะวันนี้เราได้มัดรวมข้อมูลสำคัญสำหรับการต่อประกันรถยนต์ให้ทุกคนแล้ว

ต่อประกันรถยนต์ ต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง

แน่นอนว่าการจะต่อประกันรถยนต์แต่ละครั้งจะต้องเตรียมเอกสารให้พร้อม แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าเราต่อประกันรถยนต์ที่ไหนด้วย เจ้าเดิมหรือเจ้าใหม่ แต่หลัก ๆ แล้วเอกสารที่ต้องใช้จะไม่ต่างกันมาก ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับบริษัทประกันนั้น ๆ ด้วย

1. สำเนาบัตรประชาชนเจ้าของรถ
2. สำเนาใบขับขี่ผู้ที่ต้องการต่อประกันรถยนต์
3. สำเนาหนังสือการจดทะเบียนรถยนต์
4. สำเนากรมธรรม์ประกันรถยนต์ฉบับปัจจุบันที่กำลังจะหมดอายุ หรือใบเตือนต่ออายุ

ต่อกับประกันเจ้าเดิม

ปกติแล้วบริษัทประกันรถยนต์เดิมที่เราทำอยู่จะต้องมีข้อมูลของเราอยู่แล้ว ดังนั้นการต่อประกันในครั้งต่อไปก็อาจไม่ต้องยื่นเอกสารซ้ำ หรืออาจจะต้องยื่นก็แล้วแต่บริษัทจะขอมา นอกจากนั้นก่อนที่กรมธรรม์จะหมดอายุ ทางบริษัทมักจะส่งเอกสารมาแจ้งเตือนล่วงหน้าก่อนเพื่อป้องกันไม่ให้ประกันขาดอายุ ให้เราได้รับความคุ้มครองที่ครอบคลุมต่อเนื่อง ซึ่งการแจ้งเตือนนี้อาจมาก่อนล่วงหน้า 6 เดือน 3 เดือน หรือแล้วแต่บริษัท แต่โดยปกติแล้ว ทางบริษัทจะดำเนินการล่วงหน้าให้เราเพื่อไม่ให้ประกันขาดอายุ

ข้อดีของการต่อประกันรถยนต์กับที่เดิม แน่นอนว่าเราจะได้ความสะดวกรวดเร็วในการต่ออายุ ไม่ต้องไปศึกษากรมธรรม์ใหม่ให้เสียเวลา นอกจากนั้น หากเราเป็นลูกค้าประวัติดี ที่ไม่เคยเคลมค่าประกันอะไรเลยในรอบปีที่ผ่านมา เราจะได้สิทธิ์ NO-CLAIMS คือส่วนลดค่าเบี้ยประกัน

ต่อกับประกันเจ้าใหม่

แต่หากเห็นว่าประกันเจ้าเดิมยังไม่ค่อยตอบโจทย์เราเท่าไร แม้ที่ผ่านมาจะมีประวัติดี ไม่เคยเคลมอะไรเลย แต่เบี้ยประกันของปีถัดไปก็ยังแพงกว่าเจ้าอื่น ๆ อยู่ดี แบบนี้แนะนำให้ลองมองหาประกันเจ้าใหม่เอาไว้ได้เลย
แน่นอนว่าจะไปต่อประกันรถยนต์กับเจ้าใหม่ก็ต้องยื่นเอกสารใหม่ตามข้างต้น นอกจากนี้หากใครมีสิทธิ์ NO-CLAIMS ก็อาจจะยื่นหลักฐานตรงนี้ให้กับเจ้าใหม่ไปพิจารณาสำหรับส่วนลด และหากเป็นการต่อประกันรถยนต์ชั้น 1 กับเจ้าใหม่ ทางบริษัทจะมีการส่งพนักงานมาถ่ายรูปรถของเราหรือให้เราถ่ายเองเพื่อใช้ในการทำประกันอีกด้วย ข้อนี้ก็อาจจะต้องเตรียมตัวให้พร้อม

เปลี่ยนเป็นแผนสูงขึ้น (ชั้น 1) หรือ ต่ำลง

สำหรับใครที่ต้องการปรับแผนประกันให้สูงขึ้นหรือต่ำลง เพราะแผนเดิมอาจให้ความคุ้มครองที่ยังไม่ครอบคลุม หรือแผนเดิมมีเบี้ยประกันที่แพงเกินไป แบบนี้ก็สามารถทำได้ไม่ยาก เพียงแค่ติดต่อพนักงานไป ทางบริษัทอาจขอเอกสารดังที่กล่าวไปในข้างต้น หากต้องการปรับแผนประกันให้ลดความคุ้มครองลง เช่น จากชั้น 1 เป็นชั้น 2 ก็อาจจะไม่ต้องมีการถ่ายรูปให้ยุ่งยากอะไร แต่กรณีต้องการอัปเกรดให้เป็นประกันชั้น 1 เราก็ต้องดำเนินการเช่นเดียวกับลูกค้าใหม่ที่ต้องการทำประกันชั้น 1 นั่นคือ อาจจะต้องถ่ายรูป หรือเข้ารับการตรวจสภาพรถยนต์จากบริษัทประกัน


สิ่งที่ควรคำนึงถึงเมื่อเลือกแผนประกันรถยนต์

การจะเลือกซื้อแผนประกันรถยนต์สักแผน เราจำเป็นต้องคิดให้ถี่ถ้วน เพราะมันจะต้องอยู่คู่กับรถยนต์ของเราไปเป็นปี ๆ หรือใครที่ถึงเวลาต้องต่อประกันรถยนต์รอบใหม่แล้ว ก็ต้องชั่งน้ำหนักกันว่าแผนเดิมกับบริษัทเดิมดีอยู่แล้วหรือยัง หรือว่าควรจะไปหาบริษัทใหม่ดี สิ่งที่จำเป็นต้องคำนึงถึงหลัก ๆ แล้ว มีดังนี้

1. ความคุ้มครอง

ข้อนี้คือหัวใจหลักและสำคัญมากในการเลือกซื้อหรือต่อประกันรถยนต์ ก่อนจะตัดสินใจ เราควรศึกษากรมธรรม์นั้น ๆ ให้ดีว่าให้ความคุ้มครองอะไร เท่าไรบ้าง ครอบคลุมทั้งเราและคู่กรณีหรือไม่ ทรัพย์สินของบุคคลภายนอกคุ้มครองด้วยหรือเปล่า แน่นอนว่าความคุ้มครองยิ่งมาก เบี้ยประกันยิ่งแพง จึงเป็นที่มาของประกันรถยนต์ชั้นต่าง ๆ

- ประกันชั้น 1 : ให้ความคุ้มครองทั้งคู่กรณีและตัวผู้ขับขี่กับอุบัติเหตุทั้งแบบที่มีหรือไม่มีคู่กรณี และยังคุ้มครองถึงกรณีชนแล้วหนี น้ำท่วม ไฟไหม้ โจรกรรมต่าง ๆ 

- ประกันชั้น 2+ / 2 : เดิมประกันชั้น 2 จะให้ความคุ้มครองเฉพาะชีวิต ทรัพย์สิน และร่างกายของคู่กรณีหรือบุคคลภายนอกเท่านั้น รวมถึงกรณีไฟไหม้ ถูกโจรกรรมด้วย แต่บริษัทประกันหลาย ๆ แห่งก็ได้เพิ่มประกันชั้น 2+ ขึ้นมาเป็นอีกหนึ่งตัวเลือก ที่จะคุ้มครองรถยนต์คันที่เอาประกันด้วย เฉพาะมีคู่กรณีและเป็นอุบัติเหตุระหว่างรถชนรถเท่านั้น 

- ประกันชั้น 3+ / 3 : ประกันชั้น 3 จะไม่คุ้มครองรถยนต์ของเราไม่ว่าจะมีหรือไม่มีคู่กรณี จะคุ้มครองเฉพาะทรัพย์สิน ชีวิต หรือความเสียหายกับคู่กรณีกับบุคคลภายนอกเท่านั้น ขณะที่ 3+ จะเพิ่มความคุ้มครองรถยนต์ของเรากรณีมีคู่กรณีและเป็นอุบัติเหตุระหว่างรถชนรถเท่านั้น แต่จะไม่คุ้มครองกรณีไฟไหม้ หรือโจรกรรมเหมือนชั้น 2+ / 2

2. ความคุ้มค่า

ความคุ้มค่าในที่นี้ หมายถึงเบี้ยประกันที่เราต้องจ่ายในแต่ละเดือน รวมถึงโปรโมชันต่าง ๆ ที่เราจะได้ เพราะบางบริษัทอาจให้ความคุ้มครองที่เท่ากันก็จริง แต่ค่าเบี้ยประกันกลับไม่เท่ากัน ยิ่งใครที่ต้องการต่อประกันรถยนต์ ยิ่งต้องคิดให้ดี โดยเฉพาะคนที่ต้องเคลมบ่อย การเปลี่ยนไปต่อประกันกับที่ใหม่อาจจะได้เบี้ยที่ถูกกว่า นอกจากนี้ โปรโมชันก็ยังไม่เหมือนกัน ใครให้คุ้มค่ากว่า ก็แนะนำให้เทใจไปหาบริษัทนั้น

3. ความน่าเชื่อถือของบริษัทประกันรถยนต์

ความน่าเชื่อถือของบริษัทประกันรถยนต์นี่สำคัญ โดยเฉพาะเวลาที่เราต้องการความอุ่นใจมากที่สุด นั่นก็คือเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน การบริการต้องฉับไว และรวดเร็ว ดำเนินการจ่ายค่าสินไหมทดแทนได้ตรงตามระยะเวลาที่กำหนด ศูนย์หรืออู่ซ่อมก็ต้องเป็นที่ที่มีมาตรฐาน เชื่อใจได้ ก่อนตัดสินใจซื้อหรือต่อประกันรถยนต์ เราอาจศึกษาบริษัทประกันแต่ละแห่งจากรีวิวในช่องทางต่าง ๆ หรือตรวจสอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) (www.oic.or.th) ก็ได้เช่นกัน

4. คำนึงถึงประกันที่เหมาะกับตัวเอง

เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ เราก็ได้รู้กันแล้วว่าประกันรถยนต์มีหลากหลายประเภทให้เลือก การจะตัดสินใจซื้อหรือต่อประกันรถยนต์ใหม่ สิ่งที่สำคัญอีกข้อที่เราต้องคำนึงถึงด้วยก็คือไลฟ์สไตล์การใช้รถของเรา เพื่อให้ได้การคุ้มครองที่จำเป็นจริง ๆ แบบไม่ต้องจ่ายแพงจนเกินไป

- ประกันชั้น 1 เหมาะกับผู้ที่มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เช่น มือใหม่หัดขับ รถที่ใช้งานอย่างหนักหน่วงเป็นประจำทุกวัน รวมถึงรถใหม่ป้ายแดง

- ประกันชั้น 2+ / 2 เหมาะกับผู้ที่มีประสบการณ์ขับรถมาสักระยะจนมั่นใจว่าคงไม่ได้เกิดอุบัติเหตุบ่อยขนาดนั้น ต้องการได้รับความคุ้มครองในกรณีที่จำเป็นแต่ไม่อยากจ่ายแพงเท่าชั้น 1

- ประกันชั้น 3+ / 3 เหมาะสำหรับรถที่มีอายุการใช้งานมานานแล้ว และไม่ได้ใช้บ่อย แต่หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจริง ๆ ก็ต้องการความคุ้มครองให้กับคู่กรณีได้ และแน่นอนว่าเราจะได้เบี้ยประกันที่เบาสบายกระเป๋า

แนะนำอ่าน : วันออกรถใหม่ต้องทำอะไรบ้าง ต้องเตรียมอะไรไปบ้าง ?

บทความที่คุณอาจสนใจ

ทางเลือกใหม่หนีวิกฤติ “ประกันรถระยะสั้น” หลังคปภ. อนุมัติช่วยคนไทยประหยัดเงิน
ล้วงไม่ลับฉบับไบค์เกอร์ : บิ๊กไบค์คู่ใจ ประกันแบบไหนคู่ควร
ประกันรถยนต์ชั้น 1 กับ 2+ ต่างกันอย่างไรบ้าง
ความคุ้มครอง ประกันชั้น 1 ประกันชั้น 2+ ประกันชั้น 2 คุ้มครองเฉพาะคู่กรณี ประกันชั้น 3+ ประกันชั้น 3 คุ้มครองเฉพาะคู่กรณี
รถชน(ไม่มีคู่กรณี)
รถชน(มีคู่กรณี)
ค่ารักษาพยาบาล
รถยนต์สูญหาย
ไฟไหม้
น้ำท่วม

เข้าสู่ระบบ

หากยังไม่มีบัญชีผู้ใช้ กรุณา สมัครสมาชิก

 

สมัครสมาชิก

หากเป็นสมาชิกอยู่แล้วกรุณา ลงชื่อเข้าใช้งาน

Loading..

กำลังดำเนินการ กรุณารอสักครู่ค่ะ 😊